Skip to content Skip to footer

ทำไมการตรวจหา Hidden Loss ถึงสำคัญต่อการเพิ่ม Productivity

ทำไมการตรวจหา Hidden Loss ถึงสำคัญต่อการเพิ่ม Productivity

สำหรับผู้จัดการโรงงานส่วนใหญ่ คงไม่มีคำถามใดน่ากังวลไปกว่าการที่ตัวเลขผลผลิต (Output) ในท้ายที่สุดไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่เมื่อมองดูสายการผลิตแล้วเครื่องจักรก็ยังทำงาน พนักงานก็ยังไม่ได้หยุดพัก และไม่มีเหตุการณ์ขัดข้องรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น คำถามคือ แล้ว “ประสิทธิภาพ” และ “เวลา” ที่ควรจะถูกเปลี่ยนไปเป็นผลผลิตนั้น หายไปที่ไหน?

คำตอบของปริศนานี้ไม่ได้อยู่ที่ปัญหาใหญ่ที่มองเห็นได้ชัดเจน แต่อยู่ใน “ความสูญเสียที่ซ่อนเร้น” (Hidden Loss) ซึ่งเปรียบเสมือนตัวการที่คอยขโมยเวลาและประสิทธิภาพไปทีละเล็กละน้อยอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น มันคือการหยุดชะงักเพียงไม่กี่วินาที ความเร็วที่ลดลงเพียงเล็กน้อย หรือขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนซึ่งเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในแต่ละวัน

บทความนี้ Solwer จะเจาะลึกถึงความสำคัญของ Hidden Loss ว่ามันคืออะไร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Productivity ของคุณได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ ทำไมการ “ตรวจหา Hidden Loss” และ “ทำให้มันมองเห็นได้” จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการปลดล็อกศักยภาพการผลิตที่แท้จริงของโรงงานคุณ

"Hidden Loss" คืออะไร?

Hidden Loss” หรือ “ความสูญเสียที่ซ่อนเร้น” คือ ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสายการผลิต ซึ่งไม่ได้ทำให้เครื่องจักรหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง แต่มันจะคอยบั่นทอนประสิทธิภาพและเวลาในการผลิตไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

เปรียบเทียบง่ายๆ ได้กับ “ภูเขาน้ำแข็ง” สิ่งที่เรามองเห็นและให้ความสำคัญคือ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ซึ่งก็คือปัญหาใหญ่ๆ เช่น เครื่องจักรเสีย (Breakdown) ที่ทำให้การผลิตต้องหยุดชะงักเป็นเวลานาน แต่ “Hidden Loss” คือ “ภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่ใต้น้ำ” ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามหาศาลและเป็นอันตรายที่แท้จริงต่อประสิทธิภาพโดยรวม

ตัวอย่างของ Hidden Loss ที่พบบ่อยที่สุด

ความสูญเสียที่ซ่อนเร้นเหล่านี้เปรียบเสมือน “โจรขโมยเวลา” ที่แฝงตัวอยู่ในสายการผลิตของคุณ การทำความเข้าใจลักษณะของมันคือขั้นตอนแรกในการที่จะจับโจรเหล่านี้ให้ได้

1. การหยุดชะงักชั่วครู่ (Minor Stoppage / Idling)

นี่คือ “นักฆ่าแห่ง Productivity” ที่เงียบที่สุด เพราะเป็นการหยุดทำงานของเครื่องจักรในระยะเวลาสั้นๆ (ตั้งแต่ 5 วินาที ถึง 2-3 นาที) แล้วกลับมาทำงานต่อได้เอง ทำให้หัวหน้างานหรือพนักงานที่จดบันทึกด้วยมือมักจะมองว่า “ไม่สำคัญ” และไม่บันทึกไว้

ตัวอย่างในหน้างานจริง:

  • เครื่องจักร A หยุดทำงาน 45 วินาที เพราะเซ็นเซอร์สกปรก พนักงานเดินไปเช็ดแล้วเครื่องก็ทำงานต่อได้
  • สายพานลำเลียงหยุด 1 นาที เพื่อรอให้พนักงานเคลียร์ของที่ติดอยู่ออก
  • แขนกลหยุดทำงาน 30 วินาที เพื่อรอชิ้นส่วนจากกระบวนการก่อนหน้า

เมื่อมองแยกกัน เหตุการณ์เหล่านี้ดูเล็กน้อย แต่ลองคิดดูว่าถ้าการหยุด 45 วินาทีเกิดขึ้น 10 ครั้งในหนึ่งชั่วโมง นั่นเท่ากับคุณเสียเวลาการผลิตไปเกือบ 8 นาที และถ้าเกิดขึ้นตลอด 8 ชั่วโมงทำงาน คุณจะ สูญเสียเวลาการผลิตไปกว่า 1 ชั่วโมง โดยที่ไม่เคยมีบันทึกการหยุดทำงานใหญ่ๆ เลย

2. การลดลงของความเร็ว (Speed Loss)

นี่คือความสูญเสียที่ สังเกตได้ยากที่สุด เพราะเครื่องจักรยังคงทำงานและผลิตของออกมาได้เรื่อยๆ แต่ทำงานได้ “ช้ากว่า” ความเร็วมาตรฐานที่มันควรจะเป็น

ตัวอย่างในหน้างานจริง:

  • เครื่องจักรถูกออกแบบมาให้ผลิตชิ้นงานได้ 10 ชิ้นต่อนาที (Cycle Time 6 วินาที/ชิ้น)
  • แต่ในความเป็นจริง เครื่องจักรอาจทำงานที่ความเร็ว 9 ชิ้นต่อนาที (Cycle Time 6.6 วินาที/ชิ้น)

ความแตกต่างเพียง 0.6 วินาทีต่อชิ้นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง แทนที่คุณจะได้ชิ้นงาน 600 ชิ้น คุณกลับได้เพียง 540 ชิ้น ซึ่งหมายความว่า Productivity ของคุณหายไปถึง 10% โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ สาเหตุอาจมาจากเครื่องจักรที่เก่าลง, การสึกหรอของอุปกรณ์, หรือการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม

3. ของเสียและการแก้ไขงาน (Defects and Rework)

ทุกคนรู้ว่า “ของเสีย” (Defect) คือความสูญเสีย แต่ Hidden Loss มักจะซ่อนอยู่ใน “การแก้ไขงาน” (Rework) ซึ่งเป็นการทำงานซ้ำซ้อนเพื่อซ่อมแซมชิ้นงานที่เกือบจะเสียให้กลับมาดี

ตัวอย่างในหน้างานจริง:

  • ชิ้นส่วนพลาสติกที่ฉีดออกมามีครีบเกินเล็กน้อย พนักงานต้องใช้เวลา 20 วินาทีต่อชิ้น ในการใช้คัตเตอร์กรีดส่วนเกินนั้นออก
  • ชิ้นงานโลหะมีรอยขีดข่วนจางๆ และต้องส่งไปให้พนักงานอีกคนใช้เวลา 1 นาทีต่อชิ้น ในการขัดให้สวยงาม

เวลาที่ใช้ไปกับการ “แก้ไข” เหล่านี้คือความสูญเสีย 100% เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้วางแผนไว้และไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มใดๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ แต่กลับใช้ทั้งกำลังคน, เวลา, และพลังงานไปอย่างสูญเปล่า ซึ่งบ่อยครั้งที่เวลาเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในระบบการติดตามผลแบบดั้งเดิม

วิศวกรกำลังคุมเครื่องจักรด้วยแท็บเล็ต

Hidden Loss ส่งผลกระทบต่อ Productivity อย่างไร?

Hidden Loss ส่งผลกระทบต่อ Productivity โดยตรง โดยการ “ขโมยเวลาการผลิต” และ “ลดทอนประสิทธิภาพที่แท้จริง” ของเครื่องจักรและพนักงาน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ต่ำกว่าศักยภาพสูงสุดที่ควรจะเป็น

ลองนึกภาพว่า Productivity ของโรงงานคือ “น้ำในถัง” เป้าหมายของคุณคือการเติมน้ำให้เต็ม (เป้าหมายการผลิต) ปัญหาใหญ่ๆ เช่น เครื่องจักรเสีย (Breakdown) เปรียบเหมือนการที่ถังล้ม น้ำหกออกมาหมด ทุกคนเห็นและรีบเข้าไปแก้ไข แต่ Hidden Loss เปรียบเสมือน “รูรั่วเล็กๆ นับร้อยรูที่มองไม่เห็น” ที่ก้นถัง แม้ว่าคุณจะพยายามเติมน้ำเข้าไปเรื่อยๆ (ทำงานตลอดเวลา) แต่น้ำก็รั่วไหลออกไปทีละนิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณไม่สามารถเติมน้ำให้เต็มถังได้สักที และไม่เข้าใจว่าน้ำมันหายไปไหน ผลกระทบในรายละเอียดมี 3 ด้านหลักๆ ได้แก่

1. ลดเวลาการทำงานที่แท้จริง (Reduces Actual Operating Time)

นี่คือผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด Hidden Loss คือผลรวมของความสูญเสียเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ

  • ตัวอย่าง: การที่เครื่องจักรหยุดรอชิ้นงานครั้งละ 1 นาที หากเกิดขึ้น 60 ครั้งในหนึ่งวัน นั่นเท่ากับ เวลาการผลิต 1 ชั่วโมงเต็มๆ ได้หายไป โดยที่ไม่มีการบันทึกว่าเครื่องจักร “เสีย” เลย เวลาที่หายไปนี้คือเวลาที่ควรจะถูกใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งส่งผลให้ Productivity ลดลงโดยตรง

2. สร้างผลกระทบแบบโดมิโน่ (Creates a Domino Effect)

สายการผลิตคือระบบที่เชื่อมต่อกัน เมื่อเกิดปัญหาเล็กน้อยที่จุดหนึ่ง มันมักจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ ไปยังกระบวนการอื่น

  • ตัวอย่าง: หากเครื่องจักร A ทำงานช้าลง 5% (Speed Loss) จะทำให้เครื่องจักร B ต้องหยุดรอชิ้นงาน (Waiting Loss) และอาจทำให้พนักงานที่ควบคุมเครื่องจักร B ต้องไปช่วยงานอื่นชั่วคราว (Motion Loss) ผลกระทบจึงขยายใหญ่กว่าที่เห็นในตอนแรกมาก

3. ทำให้ตั้งเป้าหมายและวางแผนผิดพลาด (Masks True Potential)

นี่คือผลกระทบเชิงกลยุทธ์ที่อันตรายที่สุด เมื่อเราไม่เคยเห็นและไม่เคยวัด Hidden Loss เราอาจจะเข้าใจผิดว่าประสิทธิภาพที่เป็นอยู่คือ “สิ่งที่ดีที่สุด” ที่เราทำได้แล้ว

  • ตัวอย่าง: โรงงานอาจตั้งเป้าหมายการผลิตไว้ที่ 85% ของกำลังการผลิตสูงสุด เพราะที่ผ่านมาทำได้ดีที่สุดแค่นั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว 15% ที่หายไปอาจมาจาก Hidden Loss ที่สามารถแก้ไขได้ หากตรวจหาและแก้ไข Hidden Loss เหล่านี้ได้สำเร็จ ศักยภาพการผลิตที่แท้จริงอาจสูงถึง 95% ก็เป็นได้

ดังนั้น Hidden Loss จึงเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของ Productivity เพราะมันโจมตีในจุดที่เรามองไม่เห็น การตรวจหาให้พบจึงไม่ใช่แค่การปรับปรุง แต่คือการ “อุดรูรั่ว” เพื่อรักษาและปลดล็อกประสิทธิภาพที่แท้จริงของโรงงานไว้นั่นเอง

Loss Tracker คืออะไร? และทำไมถึงเป็นเครื่องมือที่โรงงานสมัยใหม่ขาดไม่ได้

ในโลกอุตสาหกรรมที่ทุกนาทีหมายถึงต้นทุนและความสามารถในการแข่งขัน ผู้จัดการโรงงานทุกคนต่างเผชิญกับคำถามเดียวกัน: ทำไมผลผลิตถึงไม่เป็นไปตามเป้า? ทั้งที่ดูเหมือนว่าเครื่องจักรจะทำงานปกติและไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น คำตอบของปัญหานี้มักจะซ่อนอยู่ใน “ความสูญเสีย” เล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองไม่เห็น

Loss Tracker จาก DENSO Asia คือเครื่องมือ IoT อัจฉริยะที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ โดยทำหน้าที่เป็นเสมือน “กล่องดำ” ของสายการผลิต ที่ช่วยให้โรงงานของคุณสามารถติดตาม “การสูญเสีย” และ “มองเห็น” ปัญหาที่แท้จริงในทุกขั้นตอนได้แบบเรียลไทม์ อยากทำความรู้จัก Loss Tracker ให้มากกว่านี้ใช่ไหม ดาวน์โหลดฟรี e-book วันนี้!

ฟีเจอร์เด่นที่เข้ามาปฏิวัติการทำงาน

Loss Tracker ไม่ใช่แค่ระบบบันทึกข้อมูล แต่เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังด้วย 3 ฟังก์ชันหลัก:

1. การวัดผลผลิตและประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ (Real-time Productivity Measurement)

ลืมการรอสรุปรายงานตอนสิ้นวันไปได้เลย Loss Tracker จะแสดงผลผลิตที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับแผนที่วางไว้ (Plan vs Actual) ให้คุณเห็นแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง คุณจะรู้ได้ทันทีว่าประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ในแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไร และหากมีช่วงไหนที่ผลผลิตตกลงไป ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทันที

2. การจับเวลาทุกขั้นตอนเพื่อค้นหาความผิดปกติ (Real-time Cycle Time Monitoring)

ระบบจะทำการจับเวลาการทำงานในแต่ละขั้นตอน (Cycle Time) โดยอัตโนมัติและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการค้นหา “ความสูญเสียที่ซ่อนเร้น” (Hidden Loss) หากมีขั้นตอนไหนที่ใช้เวลานานกว่าปกติเพียงไม่กี่วินาที ระบบจะแจ้งเตือนหรือแสดงผลให้เห็นทันที ทำให้ทีมงานสามารถเข้าไปตรวจสอบและแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาย้อนดูข้อมูลหรือคาดเดาสาเหตุอีกต่อไป

3. การเชื่อมโยงข้อมูลกับวิดีโอหน้างาน (Data-Video Linkage)

นี่คือฟังก์ชันที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ปัญหาที่ต้นตอ ระบบสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตเข้ากับภาพวิดีโอที่บันทึกจากหน้างานจริงได้ ตัวอย่างเช่น หากระบบตรวจพบว่าเครื่องจักรหยุดทำงาน 30 วินาที คุณสามารถคลิกที่ข้อมูลนั้นเพื่อ ย้อนดูวิดีโอในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทันที ทำให้คุณเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงว่าปัญหาเกิดจากอะไร เช่น พนักงานหาเครื่องมือไม่เจอ, ชิ้นงานติด, หรือเกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งช่วยให้การยืนยันสาเหตุของปัญหาเป็นไปอย่างแม่นยำ 100%

ผลลัพธ์ที่ได้ “เปลี่ยนข้อมูลสู่การลงมือทำที่เฉียบคม”

ด้วยฟีเจอร์ที่ทรงพลังเหล่านี้ Loss Tracker จะช่วยโรงงานของคุณ ดังนี้

  • รู้ทันทุกปัญหา: สามารถรับรู้ถึงประสิทธิภาพการผลิตที่ลดลงได้ทันทีที่เกิดขึ้น ไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหายสะสม
  • เห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ไวขึ้น: ข้อมูลจริงแบบเรียลไทม์ช่วยชี้เป้าปัญหาคอขวด (Bottleneck) และความสูญเสียที่ซ่อนเร้นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมงานสามารถเริ่มกระบวนการปรับปรุง (Kaizen) ได้เร็วขึ้น

แก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ: การตัดสินใจทั้งหมดจะอ้างอิงจากข้อมูลและหลักฐานจริง ไม่ใช่การคาดเดา ทำให้ทุกการปรับปรุงที่ทำลงไปส่งผลดีต่อ Productivity โดยตรง

จะตรวจหา Hidden Loss ได้อย่างไร?

ในสายการผลิตที่ซับซ้อน ปัญหาใหญ่ที่มองเห็นได้ชัดเจนอาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของประสิทธิภาพที่ลดลง แต่บ่อยครั้งที่ “ความสูญเสียที่ซ่อนเร้น” (Hidden Loss) ซึ่งเกิดจากการหยุดชะงักเล็กๆ น้อยๆ หรือความเร็วที่ลดลง คือตัวการสำคัญที่บั่นทอนผลกำไรโดยที่เราไม่รู้ตัว เพื่อแก้ปัญหานี้ DENSO ในฐานะผู้นำด้านการผลิตระดับโลก ได้พัฒนาระบบ Loss Tracker ซึ่งเป็นเครื่องมืออัจฉริยะที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ตรวจหาและทำให้ความสูญเสียที่มองไม่เห็นเหล่านี้ปรากฏขึ้นเป็นข้อมูลจริง ช่วยให้โรงงานสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที โดยมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้งอุปกรณ์และเชื่อมต่อกับเครื่องจักร (Connect)

เริ่มต้นด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ IoT ของ Loss Tracker เข้ากับเครื่องจักรหรือสายการผลิตที่ต้องการวัดผล อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่เชื่อมต่อกับระบบควบคุม (PLC) หรือติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อเก็บสัญญาณการทำงานโดยตรง

ขั้นตอนที่ 2: ระบบรวบรวมข้อมูลการทำงานจริงแบบเรียลไทม์ (Collect)

  • ทันทีที่เชื่อมต่อ ระบบจะเริ่ม บันทึกทุกสถานะการทำงานของเครื่องจักรโดยอัตโนมัติ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการเดินเครื่อง, การหยุด, ความเร็ว, หรือจำนวนที่ผลิตได้ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังระบบแบบเรียลไทม์
  • จุดสำคัญ: ระบบจะจับการหยุดทำงานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการหยุดใหญ่นานเป็นชั่วโมง หรือการหยุดชะงักเล็กๆ น้อยๆ เพียงไม่กี่วินาที (Minor Stoppage) ซึ่งเป็นสิ่งที่การจดบันทึกด้วยคนมักจะมองข้ามไป

ขั้นตอนที่ 3: แสดงผลข้อมูลผ่าน Dashboard (Visualize)

ผู้ใช้งานสามารถเปิดดูข้อมูลที่รวบรวมได้ทันทีผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ททีวีในไลน์การผลิต Dashboard จะแสดงภาพรวมของประสิทธิภาพในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น

  • สถานะการทำงาน: เห็นได้ทันทีว่าเครื่องจักรใดกำลังทำงานหรือหยุดทำงาน
  • ผลผลิตเทียบกับเป้าหมาย (Plan vs Actual): เห็นความคืบหน้าของงานในแต่ละชั่วโมง
  • กราฟ Cycle Time: เปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการผลิตจริงเทียบกับเวลามาตรฐาน

ขั้นตอนที่ 4: วิเคราะห์และเจาะลึกเพื่อหา Hidden Loss (Analyze)

  • นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการค้นหา Hidden Loss จาก Dashboard ผู้ใช้งานสามารถคลิกเพื่อเจาะลึกดูรายละเอียดของความสูญเสียได้
  • การหา Minor Stoppage: ระบบจะแสดง “กราฟพาเรโตของสาเหตุการหยุด” (Pareto Chart of Stoppage Reasons) ซึ่งจะจัดอันดับว่าเครื่องจักรหยุดเพราะสาเหตุใดบ่อยที่สุดและนานที่สุด คุณอาจจะค้นพบว่า “การหยุดเพื่อรอวัตถุดิบ” ซึ่งกินเวลาครั้งละ 30 วินาที แต่เกิดขึ้น 100 ครั้งต่อวัน คือสาเหตุหลักของความสูญเสีย ไม่ใช่การที่เครื่องจักรเสีย 1 ครั้งนาน 30 นาที
  • การหา Speed Loss: จากกราฟ Cycle Time คุณจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีช่วงเวลาใดบ้างที่เครื่องจักรทำงานได้ช้ากว่ามาตรฐาน (Cycle Time สูงกว่าปกติ) ทำให้คุณสามารถเข้าไปตรวจสอบและหาสาเหตุที่แท้จริงได้

ด้วย 4 ขั้นตอนนี้ Loss Tracker จะเปลี่ยน “ความสูญเสียที่ซ่อนเร้น” ซึ่งยากต่อการมองเห็น ให้กลายเป็นข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทำให้ทีมงานสามารถระบุและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว

การเพิ่ม Productivity อย่างยั่งยืนนั้นไม่ได้มาจากการแก้ไขปัญหาใหญ่ที่มองเห็นได้ชัดเจนเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่การเอาชนะ “ความสูญเสียที่ซ่อนเร้น” (Hidden Loss) ซึ่งเป็นเหมือนรูรั่วนับพันที่คอยบั่นทอนประสิทธิภาพการผลิตของคุณไปทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ วัน การปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการตรวจวัด ก็เท่ากับว่าเรายอมรับระดับประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงให้กลายเป็นมาตรฐาน ดังนั้น ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการปลดล็อก Productivity ที่หายไป คือการทำให้ความสูญเสียที่มองไม่เห็นเหล่านี้ “มองเห็นได้” ด้วยข้อมูลจริง

อยากเรียนรู้วิธีการตรวจหา Hidden Loss ในสายการผลิตของคุณแบบละเอียดใช่ไหม? Solwer ได้รวบรวมเทคนิคและกรณีศึกษาจริงไว้ให้คุณแล้ว ดาวน์โหลดฟรี e-book “คู่มือตรวจหา Hidden Loss: เปลี่ยนความสูญเสียให้เป็นกำไร” เพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่โรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของคุณได้แล้ววันนี้!

อ้างอิง:

Leave a comment