Skip to content Skip to footer

Loss Tracker ตัวช่วยยกระดับ SMEs ไทย ให้ไกลกว่าเดิม!

Loss Tracker ตัวช่วยยกระดับ SMEs ไทย ให้ไกลกว่าเดิม!

ในยุคที่ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงและการแข่งขันดุเดือด ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมากต่างต้องเผชิญกับคำถามที่น่าปวดหัว “ทำไมยอดขายก็ดี แต่กำไรกลับไม่เหลือ?” ปัญหานี้มักไม่ได้มาจากยอดขายที่ไม่ดี แต่มาจาก “รูรั่ว” ที่มองไม่เห็นซึ่งซ่อนอยู่ในกระบวนการทำงานประจำวัน รูรั่วเหล่านี้คือ “ความสูญเสียที่มองไม่เห็น” (Hidden Losses) ที่ค่อยๆ กัดกินผลกำไรของธุรกิจไปทีละน้อยโดยที่เราไม่เคยรู้ตัว Loss Tracker นี่แหละ ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน วันนี้ Solwer จะพาไปเจาะลึกตัวปัญหา พร้อมเสนอวิธีการแก้ไขโดยใช้ Loss Tracker ที่ใช้งานได้จริง ได้ผลจริง!

เจาะลึก "ความสูญเสีย" (Loss) ไม่ใช่แค่ "ของเสีย" (Waste)

เมื่อพูดถึง “ความสูญเสีย” ในธุรกิจ โดยเฉพาะสำหรับ SMEs (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ความคิดแรกที่มักจะเกิดขึ้นคือภาพของ “ของเสีย” ที่จับต้องได้ เช่น สินค้าที่ผลิตออกมาแล้วมีตำหนิ (Defects), วัตถุดิบที่เน่าเสีย หรือเศษวัสดุที่เหลือจากการผลิต ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด

ในความเป็นจริงแล้ว “ความสูญเสีย” (Loss) เป็นแนวคิดที่กว้างกว่านั้นมาก มันคือ ทุกกิจกรรม, ทรัพยากร, หรือเวลาที่ถูกใช้ไปโดยไม่ก่อให้เกิด “คุณค่า” (Value) ในสายตาของลูกค้า พูดง่ายๆ คือ ทุกอย่างที่ลูกค้าไม่ได้ต้องการจะจ่ายเงินให้ แต่องค์กรของคุณยังคงต้องเสียต้นทุนไปกับมัน ความสูญเสียเหล่านี้มักเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและถูกซ่อนอยู่ในการทำงานประจำวัน เช่น พนักงานที่ต้องเดินไกลเพื่อไปหยิบเครื่องมือ, เวลาที่ใช้ในการค้นหาไฟล์เอกสารในคอมพิวเตอร์, หรือแม้แต่สินค้าคงคลังที่นอนนิ่งอยู่ในสต็อกโดยไม่ถูกนำไปใช้ สิ่งเหล่านี้คือ “ต้นทุนที่จมอยู่” ซึ่งกัดกินผลกำไรของธุรกิจอย่างเงียบๆ

7 Wastes

หลักการ Lean: ความสูญเปล่า 7 ประการ (7 Wastes) ที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจ

แนวคิดในการมอง “ความสูญเสีย” ให้กว้างขึ้นนี้ มีรากฐานมาจากหลักการของ Lean Manufacturing ซึ่งเป็นระบบการจัดการที่มุ่งเน้นการกำจัดความสูญเปล่า (ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “Muda”) เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยได้จำแนกความสูญเปล่าที่มักถูกมองข้ามออกเป็น 7+1 ประการ ดังนี้

1. การผลิตเกินความจำเป็น (Overproduction)

  • คืออะไร: การผลิตสินค้าหรือบริการมากเกินกว่าที่ลูกค้าสั่ง หรือผลิตเร็วกว่าที่จำเป็น ถือเป็นความสูญเปล่าที่ร้ายแรงที่สุดเพราะจะนำไปสู่ความสูญเปล่าข้ออื่นๆ ตามมา
  • ตัวอย่างใน SMEs: ร้านเบเกอรี่อบขนมปังเตรียมไว้ 100 ชิ้น ทั้งที่ปกติขายได้วันละ 70 ชิ้น ทำให้เหลือทิ้ง หรือโรงพิมพ์ที่พิมพ์งานเผื่อเสียไว้จำนวนมากเกินความจำเป็น
  • ที่มักมองข้าม: เจ้าของกิจการมักคิดว่าเป็นการ “ผลิตเผื่อไว้” หรือ “เตรียมพร้อม” แต่แท้จริงแล้วคือต้นทุนที่จมไปกับวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าเก็บรักษา

2. สินค้าคงคลังที่มากเกินไป (Excess Inventory)

  • คืออะไร: การมีวัตถุดิบ, งานระหว่างทำ (Work-in-progress), หรือสินค้าสำเร็จรูปในสต็อกมากเกินความจำเป็น
  • ตัวอย่างใน SMEs: ร้านค้าปลีกสั่งสินค้ามาสต็อกไว้เต็มโกดังโดยไม่มีการพยากรณ์ยอดขายที่ดี ทำให้เงินทุนจม, สินค้าตกรุ่นหรือเสื่อมสภาพ และยังต้องเสียค่าเช่าพื้นที่จัดเก็บ
  • ที่มักมองข้าม: การมีสต็อกเยอะๆ ทำให้รู้สึก “อุ่นใจ” ว่ามีของพร้อมขาย แต่สต็อกที่มากเกินไปจะบดบังปัญหาอื่นๆ เช่น กระบวนการผลิตที่ล่าช้า หรือปัญหาคุณภาพวัตถุดิบ

3. การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น (Unnecessary Motion)

  • คืออะไร: การเคลื่อนไหวของพนักงานที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น การเดิน, การเอื้อม, การก้ม, การหยิบจับ ที่มากเกินความจำเป็น
  • ตัวอย่างใน SMEs: ในร้านอาหาร พ่อครัวต้องเดินข้ามไปมาเพื่อหยิบอุปกรณ์ที่จัดวางอยู่คนละมุม หรือพนักงานออฟฟิศที่ต้องลุกไปหยิบเอกสารจากเครื่องพิมพ์ที่อยู่ไกล
  • ที่มักมองข้าม: เรามักมองว่าการที่พนักงาน “ดูยุ่ง” คือการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

4. การทำงานผิดขั้นตอน/ซ้ำซ้อน (Over-processing)

  • คืออะไร: การทำงานในขั้นตอนที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น หรือทำมากกว่าที่ลูกค้าต้องการ
  • ตัวอย่างใน SMEs: การสร้างรายงานที่ละเอียดและมีข้อมูลมากเกินไปจนไม่มีใครอ่าน, การขัดชิ้นงานให้เงาเกินมาตรฐานที่ลูกค้ากำหนด, หรือการตรวจสอบคุณภาพซ้ำซ้อนกันหลายขั้นตอนโดยไม่จำเป็น
  • ที่มักมองข้าม: คิดว่าการทำงานให้ “ดีที่สุด” หรือ “ละเอียดที่สุด” เป็นเรื่องดีเสมอไป แต่หากสิ่งนั้นไม่ได้สร้างคุณค่าเพิ่มให้ลูกค้า มันก็คือต้นทุน

5. การขนส่งที่ไม่จำเป็น (Unnecessary Transport)

  • คืออะไร: การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ, ชิ้นงาน, หรือสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่จำเป็น
  • ตัวอย่างใน SMEs: การวางผังโรงงานหรือคลังสินค้าไม่ดี ทำให้ต้องขนย้ายวัตถุดิบไปมาระหว่างขั้นตอนการผลิตเป็นระยะทางไกลๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียหายและเสียเวลา
  • ที่มักมองข้าม: มองว่าการขนส่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงาน แต่ไม่ได้คำนวณต้นทุนด้านเวลาและแรงงานที่เสียไปกับการเคลื่อนย้ายเหล่านี้

6. การรอคอย (Waiting)

  • คืออะไร: เวลาว่างที่เกิดขึ้นจากการรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น รอวัตถุดิบ, รอเครื่องจักร, รอข้อมูล, รอการอนุมัติ
  • ตัวอย่างใน SMEs: พนักงานฝ่ายผลิตต้องยืนรอชิ้นงานจากแผนกก่อนหน้า, ทีมขายที่ต้องรอใบเสนอราคาจากฝ่ายจัดซื้อ, หรือลูกค้ารอคิวบริการนานเกินไป
  • ที่มักมองข้าม: การรอคอยกลายเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมองค์กร จนไม่มีใครมองว่ามันคือ “ความสูญเสีย” ของเวลาและโอกาส

7. ของเสีย (Defects)

  • คืออะไร: การผลิตสินค้าหรือบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ต้องแก้ไข, ทำใหม่ หรือทิ้งไป ซึ่งเป็นความสูญเสียที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
  • ตัวอย่างใน SMEs: เสื้อผ้าที่เย็บผิดขนาด, อาหารที่ปรุงผิดสูตร, การให้ข้อมูลลูกค้าผิดพลาด
  • ที่ต้องใส่ใจ: แม้จะเห็นได้ชัด แต่ SMEs จำนวนมากไม่มีระบบติดตามว่าของเสียเกิดขึ้นที่ขั้นตอนไหนและมีมูลค่าเท่าไหร่ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขที่ต้นเหตุได้
วิศวกรกำลังทำงาน

Hidden Loss คืออะไร?

เมื่อพูดถึง 7 Waste ก็คงไม่พูดถึง Hidden Loss ไม่ได้ Hidden Loss คือ ผลกระทบหรือต้นทุนทางการเงินที่มองไม่เห็น ซึ่งเกิดจาก “ความสูญเปล่าทั้ง 7 ประการ” ที่เราได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้

ถ้าเปรียบเทียบ “ของเสีย” (Defects) ที่เรามองเห็นและจับต้องได้เป็นเพียง ยอดของภูเขาน้ำแข็ง (Tip of the Iceberg)  ตัว Hidden Loss ก็คือ ภูเขาน้ำแข็งส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามหาศาลและเป็นอันตรายต่อธุรกิจอย่างแท้จริง

ความสูญเสียเหล่านี้ “ซ่อนอยู่” เพราะมันไม่ได้ปรากฏเป็นรายการค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนในบัญชีงบดุลหรือรายงานกำไรขาดทุน บริษัทของคุณไม่มีบัญชีรายจ่ายที่ชื่อว่า “ค่าเสียเวลาจากการรอคอย” หรือ “ต้นทุนจากการที่พนักงานเดินไกลเกินไป” แต่มันคือต้นทุนที่แฝงตัวอยู่ในกระบวนการทำงาน, กัดกินประสิทธิภาพ และลดทอนผลกำไรของคุณในทุกๆ วัน

ความเชื่อมโยงระหว่าง 7 Wastes กับ Hidden Loss

“Waste” คือ กิจกรรมที่สูญเปล่า ส่วน “Hidden Loss” คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้น จากกิจกรรมนั้นๆ ลองดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

1. การรอคอย (Waiting)

Hidden Loss ที่เกิดขึ้น:

  • ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost): เวลาที่พนักงานหรือเครื่องจักรต้องหยุดรอ ไม่ได้ถูกใช้ไปเพื่อสร้างรายได้หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า
  • ต้นทุนค่าแรงที่สูญเปล่า (Wasted Labor Cost): คุณยังคงจ่ายค่าจ้างให้พนักงานในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังยืนรอโดยไม่ได้ทำงาน

2. สินค้าคงคลังที่มากเกินไป (Excess Inventory)

Hidden Loss ที่เกิดขึ้น:

  • ต้นทุนจม (Sunk Cost): เงินทุนของบริษัทจมอยู่กับสต็อกสินค้า แทนที่จะถูกนำไปใช้ลงทุนหรือหมุนเวียนในด้านอื่น
  • ค่าเช่าพื้นที่คลังสินค้า (Storage Cost): ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าที่ไม่จำเป็น
  • ค่าเสื่อมสภาพและความล้าสมัย (Depreciation & Obsolescence): สินค้าอาจหมดอายุ, เสียหาย หรือตกรุ่นได้

3. การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น (Unnecessary Motion)

Hidden Loss ที่เกิดขึ้น:

  • ประสิทธิภาพที่ลดลง (Reduced Efficiency): พนักงานใช้เวลาทำงานหนึ่งชิ้นนานขึ้น ทำให้ผลิตงานได้น้อยลงในหนึ่งวัน
  • ความเหนื่อยล้าและขวัญกำลังใจ (Employee Fatigue & Morale): การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ติดขัดและไม่สะดวกสบาย ทำให้พนักงานเหนื่อยล้าและหมดกำลังใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดที่มากขึ้น

4. การผลิตเกินความจำเป็น (Overproduction)

Hidden Loss ที่เกิดขึ้น:

  • ถูกจัดเป็น Waste ที่ร้ายแรงที่สุด เพราะมัน สร้าง Hidden Loss ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ต้นทุนสต็อก, ค่าขนส่งส่วนเกิน, ไปจนถึงค่าแรงที่ใช้ผลิตของที่ยังขายไม่ได้

ทำไม SMEs ต้องใส่ใจ Hidden Loss?

การเข้าใจเรื่อง Hidden Loss คือการเปลี่ยนมุมมองจากการแก้ปัญหาที่ “ปลายเหตุ” (เช่น จัดการกับของเสียที่เกิดขึ้นแล้ว) ไปสู่การแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ” (กำจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสูญเปล่า)

สำหรับ SMEs ที่มีทรัพยากรจำกัด การลด Hidden Loss ก็เปรียบเสมือน การค้นพบกำไรที่ซ่อนอยู่ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มยอดขายหรือหาลูกค้าใหม่ด้วยซ้ำ เพียงแค่ปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อกำจัดความสูญเปล่าทั้ง 7+1 ประการออกไป คุณก็จะสามารถลดต้นทุนที่มองไม่เห็นเหล่านี้ และเปลี่ยนมันกลับมาเป็นผลกำไรที่แท้จริงได้

ดังนั้น การมองเห็นและจัดการ Hidden Loss จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนธุรกิจ SMEs จากแค่ “อยู่รอด” ไปสู่การ “เติบโต” อย่างยั่งยืน

Loss Tracker คือ

Loss Tracker คืออะไร?

กำไรของธุรกิจ SME ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการควบคุม “Hidden Loss” หรือต้นทุนแฝงที่มองไม่เห็นซึ่งกัดกินธุรกิจของคุณในทุกๆ วัน

DENSO Loss Tracker เป็นระบบ IoT (Internet of Things) อัจฉริยะในซีรีส์ D-QITs ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ เปลี่ยน “ความสูญเสียด้านเวลา” (Time Loss) ที่มองไม่เห็นในกระบวนการผลิต ให้กลายเป็นข้อมูลที่มองเห็นได้และวัดผลได้จริง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้โรงงานและธุรกิจต่างๆ สามารถระบุและแก้ไขปัญหาที่ทำให้การผลิตหยุดชะงักได้อย่างตรงจุด

ระบบนี้จะเข้ามาแก้ปัญหาคลาสสิกของโรงงานที่มักจะรู้ว่า “เครื่องจักรหยุดทำงาน” แต่ไม่รู้ว่า “หยุดเพราะอะไร” “หยุดนานแค่ไหน” และ “ปัญหาไหนที่ควรแก้ไขก่อน” อยากรู้จัก Loss Tracker อย่างละเอียด ดาวน์โหลด e-book เลย!

หลักการทำงานของ Loss Tracker

Loss Tracker ใช้งานง่ายและไม่ต้องติดตั้งระบบที่ซับซ้อน โดยมีขั้นตอนการทำงานหลักๆ ดังนี้:

  1. ติดตั้ง QR Code: นำ QR Code ที่มีข้อมูลเฉพาะของเครื่องจักรแต่ละตัวไปติดตั้งไว้ที่เครื่องจักรหรือสถานีงานนั้นๆ
  2. สแกนเมื่อเกิดปัญหา: เมื่อเครื่องจักรหยุดทำงานหรือเกิดปัญหา พนักงานที่รับผิดชอบจะใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนสแกน QR Code ที่เครื่องจักรทันที
  3. ระบุสาเหตุ: หน้าจอจะแสดงรายการสาเหตุของการหยุดทำงานที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า (เช่น รอวัตถุดิบ, เครื่องจักรขัดข้อง, เปลี่ยนแม่พิมพ์) พนักงานเพียงแค่กดเลือกสาเหตุที่แท้จริง
  4. บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ: ระบบจะทำการบันทึกข้อมูลทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ทั้งเวลาที่เครื่องหยุด, เวลาที่กลับมาทำงาน, และสาเหตุของการหยุด
  5. แสดงผลบน Dashboard: ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังหน้าจอ Dashboard กลาง ทำให้ผู้จัดการหรือหัวหน้างานสามารถเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์
หลักการ Loss Tracker

ความสามารถหลักของ Loss Tracker

Loss Tracker เป็นเครื่องมือที่ช่วยธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ในการทำ Digital Transformation โดยเปลี่ยนปัญหาและความสูญเสียที่เคยเป็นเรื่องจับต้องยากและวัดผลไม่ได้ ให้กลายเป็น “ข้อมูลดิจิทัล” ที่ชัดเจนและนำไปใช้ปรับปรุงธุรกิจได้จริง ซึ่งมีหลักการทำงานที่ง่ายและทรงประสิทธิภาพ 4 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: บันทึกความสูญเสีย ณ จุดเกิดเหตุ

  • หลักการ: เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นในกระบวนการทำงาน เช่น เครื่องจักรหยุดทำงาน, การผลิตติดขัด หรือต้องรอวัตถุดิบ พนักงานที่อยู่หน้างานสามารถเริ่มต้นกระบวนการบันทึกข้อมูลได้ทันที
  • วิธีการ: แทนที่จะจดบันทึกด้วยมือหรือปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ พนักงานจะใช้ แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนสแกน QR Code ที่ติดตั้งไว้ประจำเครื่องจักรหรือสถานีงานนั้นๆ ซึ่งเป็นการนำข้อมูลจากโลกจริง (Analog) เข้าสู่ระบบดิจิทัลตั้งแต่ต้นทาง

ขั้นตอนที่ 2: เลือกและระบุประเภทของความสูญเสีย

  • หลักการ: หลังจากสแกน QR Code ระบบจะแสดงรายการของ “สาเหตุความสูญเสีย” ที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าบนหน้าจอ
  • วิธีการ: พนักงานสามารถ กดเลือกสาเหตุของปัญหา ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่น “เครื่องจักรขัดข้อง”, “รอวัตถุดิบ” หรือ “รอการตรวจสอบคุณภาพ” ขั้นตอนนี้ช่วยสร้างมาตรฐานข้อมูล ทำให้ทุกคนในองค์กรใช้คำจำกัดความของปัญหาแบบเดียวกัน ขจัดความคลุมเครือและทำให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ

ขั้นตอนที่ 3: รวบรวมข้อมูลเข้าระบบโดยอัตโนมัติ

  • หลักการ: เมื่อพนักงานระบุสาเหตุแล้ว ระบบจะทำหน้าที่ที่เหลือโดยอัตโนมัติ
  • วิธีการ: Loss Tracker จะ บันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น เวลาที่เริ่มเกิดปัญหา, เวลาที่ปัญหาสิ้นสุด (เมื่อมีการสแกนอีกครั้ง), ระยะเวลาที่สูญเสียไปทั้งหมด และสาเหตุของปัญหา เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกลาง (Cloud/Server) โดยอัตโนมัติ ช่วยลดภาระของพนักงานและรับประกันความถูกต้องของข้อมูล

ขั้นตอนที่ 4: แสดงผลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการปรับปรุง

  • หลักการ: นี่คือหัวใจสำคัญของการทำ Digital Transformation คือการนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • วิธีการ: ข้อมูลความสูญเสียทั้งหมดจะถูกนำมา แสดงผลบน Dashboard ในรูปแบบของกราฟและแผนภูมิที่เข้าใจง่าย เช่น กราฟวงกลมแสดงสัดส่วนของปัญหา หรือ กราฟพาเรโต (Pareto Chart) ที่จะชี้ให้เห็นว่าสาเหตุใดที่ก่อให้เกิดความสูญเสียมากที่สุด (ปัญหา 20% ที่สร้างผลกระทบ 80%) ทำให้ผู้บริหารและหัวหน้างานสามารถ มองเห็นภาพรวมของปัญหาทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว และตัดสินใจจากข้อมูลจริง (Data-Driven Decision) เพื่อวางแผนแก้ไขและปรับปรุงกระบวนการได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

Loss Tracker ช่วยธุรกิจ SMEs ได้อย่างไร?

สำหรับธุรกิจ SMEs ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพแต่มีทรัพยากรจำกัด Loss Tracker ถือเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง โดยจะเข้ามาช่วยในมิติสำคัญต่างๆ ดังนี้

1. เปลี่ยนปัญหาที่มองไม่เห็นให้จับต้องได้

SMEs มักเผชิญกับ “Hidden Loss” ที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ เช่น พนักงานยืนรอวัตถุดิบ 5 นาที, เครื่องจักรหยุดแบบไม่ทราบสาเหตุ 10 นาที การสูญเสียเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เมื่อรวมกันทั้งปีจะมีมูลค่ามหาศาล Loss Tracker จะทำให้ข้อมูลเหล่านี้กลายเป็นตัวเลขและกราฟที่จับต้องได้

2. ตัดสินใจจากข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึก

เจ้าของ SMEs ไม่จำเป็นต้องคาดเดาหรืออาศัยความรู้สึกในการแก้ปัญหาอีกต่อไป แต่สามารถใช้ข้อมูลจากกราฟพาเรโตเพื่อตัดสินใจได้ทันทีว่าควรจะลงทุนปรับปรุงที่จุดไหนก่อนเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกมากที่สุด

3. ลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักร (Downtime) อย่างเป็นระบบ

เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงและบ่อยที่สุดของการหยุดทำงาน ธุรกิจสามารถวางแผนแก้ไขที่ต้นตอได้ เช่น หากพบว่าการรอวัตถุดิบเป็นปัญหาหลัก ก็สามารถไปปรับปรุงระบบการจัดการสต็อกและการเบิกจ่ายได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเวลาการผลิตและประสิทธิภาพโดยรวม (OEE – Overall Equipment Effectiveness)

4. เริ่มต้นทำ Kaizen และ IoT ได้ง่าย

สำหรับ SMEs ที่ต้องการเริ่มต้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Kaizen) หรือนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ Loss Tracker เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำได้ง่าย ไม่ต้องลงทุนสูง และเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

5. เพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไรโดยตรง

ท้ายที่สุดแล้ว การลดเวลาที่สูญเปล่าในกระบวนการผลิตหมายความว่าบริษัทสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนต่อหน่วยและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจได้โดยตรง

อย่าปล่อยให้ “ความสูญเสียที่ซ่อนอยู่” (Hidden Loss) ที่มองไม่เห็น มาเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของธุรกิจคุณ เพราะจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือการมองเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจนและวัดผลได้

Loss Tracker คือเครื่องมือที่จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจ SMEs ของคุณ ในการเปลี่ยนความสูญเปล่าที่จับต้องไม่ได้ให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปสู่การปรับปรุงจริง ช่วยให้คุณสามารถสร้างรากฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่งและพร้อมสำหรับเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน

ติดต่อ Slower เพื่อขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับโซลูชัน Loss Tracker ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ หรือเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการ [ดาวน์โหลดเทมเพลต Loss Tracker ฟรี] เพื่อนำไปทดลองบันทึกและมองเห็นความสูญเสียในองค์กรของคุณได้ทันที!

อ้างอิง

Leave a comment